ลิโอเนล เมสซี่ หรือชื่อเต็มว่า ลิโอเนล อันเดรส เมสซี่ เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ปี 1987 เมสซี่เป็นเด็กหนุ่มที่เกิดในแคว้นซานตา เฟ่ ที่เมืองโรซาริโอ ประเทศอาร์เจนติน่า ตำแหน่งที่เล่น กองหน้าตัวต่ำ/กองกลางตัวรุก สโมสรปัจจุบัน เจ้าบุญทุ่ม บาร์เซโลน่า ใส่เสื้อหมายเลข 10
เมสซี่เริ่มเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่ห้าขวบ กับสโมสรเล็กๆ ที่ชื่อว่า กรานโดลี่ โดยมีพ่อเป็นโค้ชให้ จนกระทั่งในปี 1995 ก็ได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรที่ใหญ่กว่าอย่างนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ เพื่อเรียนวิชาลูกหนังที่เข้มข้นกว่าเดิม
เมื่อทีมชาติ อาร์เจนติน่า พลาดแชมป์ และพ่ายแพ้ในยุคนี้ นักฟุตบอลคนแรกที่ทุกคนพุ่งเป้าโจมตีหนีไม่พ้นนักฟุตบอลที่ได้รับการยอมรับจากหลายฝ่ายว่า เก่งที่สุดในโลก อย่าง ลิโอเนล เมสซี่ … ทุกคนสงสัยว่าทั้งๆ ที่เขาเก่งที่สุดและสามารถพา เจ้าบุญทุ่ม คว้าทุกแชมป์ที่ลงแข่งขัน ทว่าเมื่อกลับมาเล่นให้ทีมชาติแล้วทำไมจึงเห็นแต่ใบหน้าและท่าทางที่สิ้นหวังตลอดเวลา
ในปี 2005 นับตั้งแต่ เมสซี่ติดทีมชาติ อาร์เจนติน่า ชุดใหญ่ เมสซี่ไม่เคยคว้าแชมป์ร่วมกับทีมได้เลยแม้แต่รายการเดียวจนถึงตอนนี้ผ่านมานานถึงสิบสี่ปี
หากเปรียบเทียบกับฝีเท้าและความสำเร็จระดับสโมสรมันจึงเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ ทำไมนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกถึงทำเพื่อชาติแบบที่ทำให้กับสโมสรไม่ได้
เหตุผลที่ชาว อาร์เจนติน่า สงสัยในความทุ่มเทที่แตกต่างกันของเมสซี่คือ พวกเขาคิดว่าสุดยอดนักเตะรายนี้ได้รับการเลี้ยงดูและเติบโตในรูปแบบที่แตกต่างจากนักเตะอาร์เจนติน่าคนอื่นๆ ทั่วไป ค่อนข้างยากจนข้นแค้น ต้องเล่นในประเทศหลายปีกว่าจะได้ลืมตาอ้าปากและไปเล่นในยุโรป แต่สำหรับเมสซี่แค่อายุสิบสามปี เขาก็เก็บข้าวเก็บของย้ายจาก อาร์เจนติน่า และมาใช้ชีวิตกินอยู่ในแคว้นคาตาลุนญา ประเทศสเปนแล้ว
ในปี 2006 เมสซี่พบกับช่วงเวลาที่ไม่ดีนัก หลังกลับมาจากฟุตบอลโลกครั้งแรกในชีวิตด้วยความผิดหวังเนื่องจากอาร์เจนติน่า ต้องร่วงตกรอบแปดทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือเจ้าภาพเยอรมัน
แต่ตัวเมสซี่ก็พอจะทำผลงานได้ดีไม่น้อยโดยยิงได้ 1 ประตูในเกมกับเซอร์เบียแอนด์มอนเตเนโกร (ถล่มไป 6 ต่อ 0) และทำให้เป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในฟุตบอลโลกครั้งนี้
เมสซี่ เกิดโชคร้ายได้รับบาดเจ็บในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับแวร์เดอร์ เบรเมน ถึงขั้นกระดูกเท้าแตกจนต้องพักการเล่นมาอย่างยาวนานหลายเดือนนับจากนั้น
ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เมสซี่ กลับมาลงเล่นได้อีกครั้ง และเป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่เมื่อทำแฮตทริกได้ในเกม เอล กลาซิโก้ กับทีมราชันชุดขาว ในเกมที่เสมอกับบาร์เซโลน่า 3 ต่อ 3 ที่คัมป์ นู ซึ่งทำให้เมสซี่ กลายเป็นผู้เล่นคนแรกในรอบนับสิบปีที่ทำแฮตทริกได้ในเกมนี้
นับตั้งแต่อีวาน ซาโมราโน่ ทำไว้เมื่อปี 1994-95 และหากนับของบาร์ซ่า ก็เป็นคนแรกตั้งแต่โรมาริโอ ทำได้เมื่อปี 1993-94 เลยทีเดียว และยังเป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ยิงได้ในเกมเอล กลาซิโก้ ด้วย
ในฤดูกาล 2009-10 เมสซี่ พาทีมเจ้าบุญทุ่มคว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ได้สำเร็จ และเขาก็ได้รับรางวัล บัลลง ดอร์ ในวันที่ 1 ธันวาคม 2009 โดยเฉือนเอาชนะ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไปได้
ต่อมาในวันที่ 19 ธันวาคม เมสซี่ ก็ยิงประตูให้กับทีมเอาชนะ เอสตูเดียนเตส คว้าแชมป์ คลับ เวิลด์ คัพ ซึ่งเป็นแชมป์รายการที่ 6 ของ เจ้าบุญทุ่ม ในปีนี้ ทำให้เขาได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลก จากการจัดอันดับของฟีฟ่ามาอีกด้วย ส่วนในลา ลีก้า เมสซี่ คว้านักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน เขาทำได้ 47 ประตูและส่งบอลให้เพื่อนยิงประตู 11 ครั้ง จากการแข่งขันทุกรายการในฤดูกาลนี้
ในฤดูกาล 2010-11 เมสซี่ กดแฮตทริค ช่วยให้ เจ้าบุญทุ่ม เอาชนะ เซบีย่า 4 ต่อ 0 กลับมาคว้าแชมป์ สแปนิช ซูเปอร์ คัพ หลังจากที่พ่ายแพ้มาก่อน 1 ต่อ 3 ในเกมแรก
ฤดูกาล 2011-12 เมสซี่ ก็พาทีมคว้าแชมป์ สแปนิช ซูเปอร์ คัพ ได้อีกครั้ง โดยเอาชนะอริตลอดกาล อย่าง เรอัล มาดริด ไปได้ และก็พาทีมเอาชนะ ปอร์โต้ คว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ
วันที่ 9 ธันวาคม ปี 2012-3 เมสซี่ซัด 2 ประตู ในเกมที่พบกับ เรอัล เบติส ซึ่งเป็นประตูที่ 85 และ 86 ของเขา ในปี 2012 นี้ ทำลายสถิติของ ไอ้ลูกระเบิด แกร์ด มุลเลอร์ ตำนานนักเตะชาวเยอรมัน ที่ยิงได้ 85 ประตู ตั้งแต่ปี 1972 ได้สำเร็จ
ในฤดูกาล 2013-14 นี้ เมสซี่ เปิดฤดูกาลด้วยการทำไปสองประตู และส่งให้เพื่อนทำประตูอีก 1 ครั้ง ในนัดที่ถล่ม เลบานเต้ ไปด้วยคะแนน 7 ต่อ 0 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม และต่อมาในวันที่ 1 กันยายน เมสซี่ก็ระเบิดแฮตทริคที่ 23 ในชีวิตการค้าแข้งของตัวเองได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะ บาเลนเซียด้วยคะแนน 3 ต่อ 2
เปิดศักราชใหม่ในปี 2015-16 เมสซี่ซัดอีกไปสองฟรีคิก ในเกมที่เอาชนะเซบีญ่าด้วยสกอร์ 5 ต่อ 4 ในศึกยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และกลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นในแชมเปี้ยนส์ ลีก ครบ 100 นัด เมื่อวันที่ 16 กันยายน
ต่อมาได้รับบาดเจ็บหัวเข่าในเกมกับลาส พัลมาส จนต้องพักไป 6 ถึง 8 สัปดาห์ สุดท้ายก็กลับมาในศึกเอล กลาซิโก้ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ลงสนามเป็นตัวสำรอง ช่วยทีมเอาชนะไปด้วยคะแนน 4 ต่อ 0
สุดท้ายเป็นผู้ทำประตูเบิกร่องในศึกฟุตบอลสโมสรโลก 2015 ในวันที่ 20 ธันวาคม และช่วยทีมคว้าแชมป์รายการนี้ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นถ้วยที่ห้าของปี 2015 อีกทั้งยังได้รับรางวัลลูกบอลเงิน แม้พลาดลงสนามในรอบรองชนะเลิศ
เมสซี่ เป็นกำลังหลักของทีมชาติอาร์เจนติน่าเรื่อยมาในทุกรายการ ถึงตอนนี้ เขาลงสนามในนามทีมชาติไปแล้วทั้งสิ้น 105 ครั้ง ยิงได้ทั้งหมดสี่สิบเก้าประตู
คงไม่มีใครสงสัยถึงความสามารถของ เมสซี่ กันอีกแล้ว เพราะเขาคือ นักเตะจอมทำลายสถิติจริงๆ คงต้องรอดูกันต่อไปว่า เขาจะสร้างสถิติอะไรใหม่ๆ ขึ้นในวงการลูกหนังโลกอีกหรือไม่ แต่ด้วยวัยเพียงเท่านี้ ยังมีเวลาให้ เมสซี่ สร้างสรรค์ความมหัศจรรย์ให้ทุกคนได้ดูอีกเหลือเฟือ